Gartner เผยเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่น่าจับตาในปี 2564 แนะนำติดตาม NFT, Quantum Machine Learning, Generative AI, Homomorphic Encryption และ Composable Applications

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา Philip Dawson, VP Analyst ของ Gartner เปิดเผยรายงาน “Hype Cycle for Emerging Technologies, 2021” โดยได้นำเทคโนโลยี 1,500 ตัวมาวิเคราะห์ในเชิงลึก จนกลายมาเป็นบทสรุปของแนวโน้มของเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ต้องรู้ เพื่อทำให้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับสูงช่วง 5-10 ปีหลังจากนี้

ส่วนเทคโนโลยีเกิดใหม่ในปี 2564 ที่ Gartner ชี้ชัดว่า “น่าจับตา” ประกอบด้วย NFT, Quantum Machine Learning, Generative AI, Data Fabric, Sovereign Cloud, Homomorphic Encryption และ Composable Applications/Networks

โดยในรอบนี้ Gartner จัดหมวดหมู่ของ “แนวโน้มเทคโนโลยีเกิดใหม่” ออกเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ Engineering Trust (ความน่าเชื่อถือทางด้านวิศวกรรม), Accelerating Growth (การเร่งการเติบโต) และ Sculpting Change (ทำให้การเปลี่ยนแปลงอยู่ในการควบคุมได้)

1. Engineering Trust (ความน่าเชื่อถือทางด้านวิศวกรรม)

ความน่าเชื่อถือ หรือ Trust ต้องมีองค์ประกอบในเรื่องของ ความปลอดภัย (Security) และความน่าเชื่อถือ (Reliability) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ Trust ยังสามารถขยายไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่เป็นรากฐานที่ยืดหยุ่นสำหรับระบบไอทีเพื่อส่งมอบ Business Value ได้ ซึ่งรากฐานนี้ต้องประกอบด้วยแนวทางปฏิบัติและนวัตกรรมการทำงานที่สามารถสร้างได้ ออกแบบได้ ทำซ้ำได้ เชื่อถือได้ พิสูจน์ได้ และปรับขนาดได้

ยกตัวอย่างเช่น ตลาดสำหรับเทคโนโลยีและบริการด้านดิจิทัลและคลาวด์ มักถูกครองตลอดจากบริษัทในสหรัฐอเมริกาและเอเชีย ส่งผลให้บริษัทจำนวนมากในสหภาพยุโรป (ซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง GDPR ไปแล้ว) เกิดความกังวลในแง่กฎหมาย-การเมือง ตลอดจนมีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาการควบคุมข้อมูล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป

ดังนั้นประเทศต่างๆ ควรมีส่วนในการกำหนดอธิปไตยของคลาวด์ (Sovereign Cloud) ได้ เพื่อให้บรรลุด้านอธิปไตยของข้อมูลและดิจิทัล ซึ่งจะทำให้ข้อกำหนดทางกฎหมายในประเทศของผู้ใช้บริการคลาวด์ เพื่อให้เข้าไปมีผลต่อการปกป้องข้อมูล, ข้อกำหนดด้านที่อยู่อาศัย, กลไกการคุ้มครอง และสร้างการรวบรวมที่ชาญฉลาดได้

เทคโนโลยีที่น่าจับตาหลายตัว ช่วยให้สร้างให้เกิด Engineer Trust ได้ ยกตัวอย่างเช่น Sovereign Cloud, NFT, Machine-Readable Legislation, Decentralized Identity, Decentralized finance, Homomorphic Encryption, Active Metadata Management, Data Fabric, Real-time Incident Center และ Employee Communications Applications

2. Accelerating Growth (การเติบโตแบบก้าวกระโดด)

หลังจาก Core Business ที่น่าเชื่อถือได้มีถูกสร้าง, ฟื้นฟู และเติบโตแล้ว องค์กรควรสร้างสมดุลระหว่าง “ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี” กับ “ความเสี่ยงทางธุรกิจที่ยอมรับได้” เพื่อให้มั่นใจว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของธุรกิจในระยะสั้น และเมื่อ “แกนหลักด้านนวัตกรรม” สามารถปรับขนาดหรือขยายได้มากขึ้น “การเติบโตแบบก้าวกระโดด” จะเพิ่มมูลค่าและปริมาณการส่งมอบได้

ยกตัวอย่าง เช่น “Generative AI” เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่อุตสาหกรรมยาใช้เพื่อช่วยลดต้นทุนและลดเวลาในการพัฒนายาใหม่ๆ ซึ่ง Gartner คาดว่าภายในปี 2568 ยาและวัตถุดิบใหม่ๆ จำนวน 30% ในท้องตลาด จะถูกค้นพบอย่างเป็นระบบโดยใช้เทคนิค Generative AI อีกด้วย โดย Generative AI ไม่เพียงแต่จะเสริมและเร่งการออกแบบในหลายๆ ด้านเท่านั้น มันยังมีศักยภาพในการ “คิดค้น” การออกแบบใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจพลาดไป

หากต้องการเร่งการเติบโตของธุรกิจ คุณควรให้ความสนใจแก่เทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น Multiexperience, Industry Cloud, AI-driven Innovation, Quantum Machine Learning (Quantum ML), Generative AI และ Digital Humans

sculptor creates a bust and puts his hands clay on the skeleton of the sculpture. Close-up

3. Sculpting Change (ทำให้การเปลี่ยนแปลงอยู่ในการควบคุมได้)

Change หรือ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มักจะสร้างความยุ่งยากและทำให้เกิดความโกลาหล (chaos) อยู่ปล่อยครั้ง แต่จากนี้ไปองค์กรต่างๆ จะสามารถใช้นวัตกรรมใหม่ๆ มา “แกะสลัก” หรือ “ควบคุม” การเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งยังสามารถจัดลำดับของความโกลาหลต่างๆ ได้อีกด้วย โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลังจากนี้ไป จะช่วยคาดการณ์และปรับระดับของ “ความต้องการของการเปลี่ยนแปลง” (the needs of change) ได้

ยกตัวอย่าง เช่น แอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ปรับแต่งได้ (Composable Business Applications) จะทำให้เกิดการจับคู่ระหว่าง “ประสบการณ์ในการใช้งานแอปพลิเคชัน” (Application Experiences) กับ “บริบทของธุรกิจในด้านการปฎิบัติงานหรือกาารเปลี่ยนแปลง” ได้ดียิ่งขึ้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ Composable Business หรือ ธุรกิจแบบประกอบได้ จะก่อตั้งขึ้นบนเทคโนโลยีแอปพลิเคชันที่ปรับแต่งได้ (Composable Applications) และสร้างขึ้นด้วยความคิดแบบประกอบได้ (Composable Thinking) จะทำให้ธุรกิจสามารถจำแนกและใช้ประโยชน์กับ “โอกาสทางธุรกิจ” ได้ อีกทั้งยังช่วยให้รับมือกับการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิด และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าได้ตามที่ต้องการ โดยไม่เสีย loyalty ของลูกค้าแต่อย่างใด

องค์กรที่มองถึงเรื่องของ Sculpting Change ควรให้ความสนใจกับ Composable Applications, Composable Networks, AI-augmented Design, AI-augmented Software Engineering, Physics-Informed AI, Influence Engineering, Digital Platform Conductor Tools, Named Data Networking และ Self-Integrating Applications

ส่วนสาระอื่นๆ ที่น่าสนใจจากการนำเสนอรอบนี้ ตัวอย่างเช่น

  • Gartner มองว่า Nonfungible tokens (NFT), Active Metadata Management, Composable Applications และ Generative AI จะมีเวลามี 2-5 ปีในการพัฒนา ก่อนที่เทคโนโลยีจถูกนำไปใช้จริงในวงกว้าง
  • ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) จะเข้ามามีบทบาทกับการเขียน code รวมถึงในเรื่องของ augmenting design และ innovation โดยจะเห็นชัดในช่วง 5-10 ปีหลังจากนี้
  • “Composable” (ความสามารถในการปรับแต่งได้) จะกลายเป็นคำยอดนิยม (buzzword) สำหรับแอปพลิเคชันและระบบเครือข่ายต่างๆ
  • ระบบคลาวด์สำหรับภาคอุตสาหกรรม (Industry clouds) เริ่มเข้าสู่ hype cycle โดยจะไปถึง plateau of productivity ภายใน 5-10 ปีนี้ ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะตอนนี้ผู้ขายทุกรายมีบริการ Industry Clouds ให้แก่ลูกค้าแล้ว
  • Digital humans จะถูกพูดถึงในแง่มุมดีๆ มากขึ้น แต่ Gartner ก็มองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวต้องใช้เวลาพัฒนานานมากกว่า 10 ปี จึงจะไปอยู่ใน plateau of productivity ได้
  • ระบบ Machine Learning ที่พัฒนามาจาก Quantum ก็มีแนวโน้มต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปีจึงจะเห็นผลและใช้งานได้จริง