SCB Group จัดตั้ง “ยานแม่” ภายใต้ชื่อ SCBX เพิ่มความคล่องตัวและขีดความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาค สร้างบริษัทสู่หลากธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์ม วางรากฐานรองรับบริบทใหม่ของโลก

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 กลุ่มไทยพาณิชย์ (SCB Group) ประกาศวิสัยทัศน์องค์กร รับบริบทใหม่ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ “SCBX” (เอสซีบี เอกซ์) เพื่อเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ เตรียมพร้อมเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้าสองร้อยล้านคนพร้อมภารกิจเชื่อมต่อ ecosystem ทั้งในและต่างประเทศ โดย “SCBX” จะยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ใกล้ชิดของธนาคารแห่งประเทศไทย

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ปี 2025 การมาถึงของ decentralized finance technology การขยายตัวและการบุกของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด (post-covid) รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างมาก จะทำให้รูปแบบการทำธุรกิจ (business model) ในแบบ intermediaries หรือการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารแบบดั้งเดิมจะลดบทบาทลง เพราะจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภคได้ ความสำคัญของธนาคารต่อผู้บริโภคจะลดลงและจะส่งผลลบต่อการให้มูลค่าอนาคตของนักลงทุนต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“แนวโน้มของการถูก disrupt นั้นเริ่มมาเมื่อหกปีก่อนและชัดเจนมากในอีกสามปีข้างหน้า SCB ได้ตั้งโจทย์และเพิ่มศักยภาพตัวเองมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุดในการตั้งคำถามแห่งอนาคตว่าในช่วงเวลาสามปีจากนี้ที่เข้มข้นที่สุด SCB จะต้องแปลงสภาพตัวเองอย่างไรจึงจะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้บริโภค รวมถึงสามารถเติบโตไปกับโลกใหม่ได้ SCB จึงจะต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ที่ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ เร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี รวมถึงการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก เข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้” นายอาทิตย์ กล่าว

โดยกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งธนาคารควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจใหม่สำหรับอนาคตนั้น ในส่วนของธนาคารจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการปรับลดกระบวนการขั้นตอนต่างๆให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้มากที่สุดในทุกช่องทาง ธนาคารจะเน้นความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเป็นที่ตั้ง

SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารที่แข็งแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และจะขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลที่มีการเติบโตสูงที่ธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้ โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศ และระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่ง ที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากการขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลแล้ว SCB จะต้องยกระดับขีดความสามารถของกลุ่มในการสามารถสร้างและบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (technology platform) หลังจากนำร่องด้วย “โรบินฮู้ด ฟู้ดเดลิเวอรี” เป็นโครงการแรก เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก และได้สร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัท “SCB Tech X” และบริษัท “Data X” ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อสร้างขีดความสามารถพื้นฐานด้านเทคโนโลยีภายในที่จะสามารถสร้างและ scale platform ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

นอกจากนั้น SCB จะขยายเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset business) ในระดับโลกเพื่อเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตผ่าน SCB 10X และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) โดยการร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกองทุนระดับโลก และการพัฒนาธุรกิจ digital asset ด้านต่างๆ ใน business model ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว

“ในปี 2025 ความคาดหวังของ SCB คือ การสามารถสร้างมูลค่าของบริษัทจากธุรกิจใหม่ให้มีขนาดที่มีนัยยะสำคัญนอกเหนือจากผลกำไรพื้นฐานและความมั่นคงของธุรกิจธนาคารหลัก ซึ่งรวมถึงการสร้างฐานลูกค้าในระบบให้ได้ถึง 200 ล้านคน การขยายธุรกิจใหม่ออกสู่ต่างประเทศ และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และหลังจากสามปีนี้ SCB จะไม่เท่ากับธนาคารอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี(technology platform} ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภคและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในระดับโลกได้อย่างทัดเทียม เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นทดแทนธุรกิจธนาคารที่อาจจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที” นายอาทิตย์ กล่าว

CP จับมือกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มุ่งลงทุนใน Startup ที่มีศักยภาพทั่วโลก

เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์จับมือร่วมกันก่อตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600 – 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมุ่งเน้นการลงทุนใน Disruptive Technology ด้านบล็อคเชน (Blockchain) สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) เทคโนโลยีด้านการเงิน (FinTech) และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลก

การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นการดึงจุดแข็งของทั้งสองฝ่าย เพื่อร่วมบริหารจัดการกองทุน Venture Capital โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลากหลายและมีเครือขายทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี Ecosystem ที่ครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจค้าปลีก เกษตรกรรม ธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งช่วยให้บริษัทที่ไปลงทุนนั้น สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ ในขณะที่ กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์นั้น นับเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยการมี Ecosystem ในภาคการเงินที่ทันสมัยและสามารถต่อยอดไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมี SCB 10X บริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เข้าร่วมบริหารจัดการกองทุนดังกล่าว เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี และมีเครือข่ายนักลงทุน Venture Capital ทั่วโลก รวมถึงการเป็นผู้นำในด้าน Blockchain และสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาค

เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ จะร่วมกันจัดตั้งบริษัทเพื่อบริหารจัดการกองทุน โดยต่างถือหุ้นร้อยละ 50 นอกจากนี้ ยังร่วมลงทุนในกองทุน Venture Capital ขนาด 600 – 800 ล้านหรียญสหรัฐฯ นี้ เป็นจำนวนเงินฝ่ายละ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนที่เหลือจะระดมทุนจากนักลงทุนที่ได้รับการรับรอง (Accredited Investor) โดยมุ่งเน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงเติบโตทั่วโลก (Early to Growth Stage)

นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า “เราเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเข้ามาเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจในหลายๆ อุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเงินการธนาคาร ภาคเกษตรกรรม ด้วยความสามารถของเทคโนโลยีนี้ที่เข้ามาช่วยในการติดตามและเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการต่างๆ ซึ่งเราเชื่อว่าขณะนี้เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ และเชื่อว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก”

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ทุกวันนี้เราเห็นการเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ชัดเจนในภาคการเงิน การนำบล็อกเชนเข้ามาประยุกต์ใช้กับบริการทางการเงินนั้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้การบริการทางการเงินนั้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้น การก่อตั้งกองทุน Venture Capital ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถสร้างความแตกต่างและคุณค่าให้กับเหล่านักลงทุนและ Startup ได้อย่างดี ทั้งยังเป็นการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มธนาคาร ผ่านขีดความสามารถในด้านการลงทุน และเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจหลักของธนาคารผ่านนวัตกรรมทางการเงินที่สำคัญ”

โดยการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว อยู่ในระหว่างการขออนุมัติกับธนาคารแห่งประเทศไทย