ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้จะแย่งงานมนุษย์ แต่มันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ ก้าวไปสู่อีกจุดที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ …

highlight

  • เมื่อเราจะสร้าง เอไอ นั่นหมายถึงเรากำลังจะสร้างมันฉลาดกว่าเรามากในบางด้าน เราไม่ได้สร้างให้มันใกล้เคียงมนุษย์มันไม่จำเป็นต้องเหมือน แต่เรากำลังเพิ่มความหลากหลายทางความคิดให้ เอไอ และทำให้มันจำเพาะเจาะจงมากขึ้น เหมือนที่เราสร้างเครื่องคิดเลขให้มีความฉลาดเรื่องพีชคณิตกว่าเราแล้ว
  • เอไอ จะทำให้ ให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้อีกครั้งคือ การใส่มันเข้าไปในสิ่งที่มีอยู่เพื่อเพิ่มพลังในการวิเคราะห์ และควบคุม ที่มีประสิทธิภาพ ลองคิดแบบคูณพันคูณหมื่น หรือคูณเข้าไปล้านเท่า หากเราใส่เอไอเข้าไปในปั้มน้ำก็จะมีปั๊มน้ำไฟฟ้าที่จะสามารถปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เลย
  • ควรมองหุ่นยนต์ที่ฉลาดมากขึ้นหลังจากมี เอไอ เข้าเพิ่มทักษะในการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงานมากกว่า เพราะพวกมันจะทำงาน และช่วยจัดการงานให้เป็นรูปแบบใหม่ ทำให้มันกลายเป็น ”ผู้ช่วย” ที่จะสร้างรูปแบบงานแบบใหม่ รูปแบบงานที่ไม่เคยรู้มาต้องทำมาก่อน

AI + Human = Good Teamwork ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

เรากำลังอยู่ในยุคที่มีคนรู้ว่าว่าเราต้องการอะไรก่อนที่เราจะคิดออกว่าต้องการ แล้ว หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า มันคืออะไร ใครจะมารู้สิ่งที่เราต้องการก่อนที่เราจะคิดออกได้อย่างไร ผู้เขียนอยากจะบอกว่าถูกแล้วครับ ที่คิดแบบนั้น แต่ไม่ถูกเพราะปัจจุบันมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงหน้า ฟีดข่าว บน Facebook แล้ว

ลองคิดตามดูนะครับ ว่าเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมจึงมีฟีดข่าว หรือโฆษณาแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกัน ระหว่างฟีดข่าว หรือโฆษณาของเพื่อนคุณ กับของคุณ คำตอบของความสงสัยนั้นคือ “การเก็บข้อมูลพฤติกรรม และวิเคราะห์” ออกมาเป็นข้อมูล ที่คาดเดา หรือคาดคะเน สิ่งที่เราน่าจะสนใจ จนนำเสนอออกมาในช่องทางที่เราใช้กัน

ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็น Google, IG หรือ Facebook ต่างก็เก็บร่วมรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของเราหมด ไม่ว่าจะเป็นการคลิกดูข่าว การค้นหา การหยุดอ่านข้อมูล การคอมเม้นในโพสต์ต่าง ๆ ไมว่าจะเป็นเพื่อน หรือเพจของสินค้า หรือแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งหากมองในแง่การทำธุรกิจนี่คือโอกาสสำคัญ ที่จะได้ใช้ประโยชน์จาก “ข้อมูล” (Data)

ที่เป็นเหมือน “น้ำมันใหม่” (New Oil) ที่ขับเคลื่อนธุรกิจของยุคสมัยนี้ และมันคือสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” (4th Industrial Revolution) ขึ้น ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ฟังความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวมาจากหลายกูรูชั้นนำของโลก จนได้ข้อสรุปว่านี่คือสิ่งที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ไม่ว่าจะพยายามหลีกแค่ไหนก็ตาม

AI
เควิน เคลลี (Kevin Kelly) บรรณาธิการบริหาร ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว Wired และอดีตบรรณาธิการนิตยสาร Whole Earth Review และผู้เขียน “โลกอัจฉริยะแห่งอนาคต” (The Inevitable)

และจากทั้งหมดในผู้ที่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เควิน เคลลี (Kevin Kelly) บรรณาธิการบริหาร ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว Wired และอดีตบรรณาธิการนิตยสาร Whole Earth Review และผู้เขียน “โลกอัจฉริยะแห่งอนาคต” (The Inevitable) เป็นหนึ่งท่านที่ได้ให้ความเห็นประเด็นไว้อย่างน่าสนใจ

“โลกเราผ่านยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การปฏิวัติจากแรงงานคน และสัตว์มาเป็น “เครื่องจักรไอน้ำ” ทำให้งานที่ต้องใช้แรงงานซ้ำ ๆ ถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรไอน้ำ และใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทางการผลิต,

การปฏิวัติจากการผลิตจากการใช้พลังงานถ่านหินมาสู่ “การใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซ และน้ำมัน” เป็นพลังงานทางการผลิต ซึ่งทำให้เกิดเป็นยุคที่มีสินค้าเหมือนๆกันจำนวนมาก (Mass Production)

และการปฏิวัติจากการใช้เครื่องจักรมาสู่การใช้ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ และทำให้เกิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาบนโลก และทำให้เกิดการผลิตแบบอัตโนมัติขึ้น ส่งผลให้ขบวนการผลิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

อนาคตของเทคโนโลยีของโลกมันเปลี่ยนบ่อยครั้งเมื่อเทคโนโลยีนั้นเดินทางมาถึงจุด ๆ หนึ่งที่ต้องเปลี่ยน เราอาจประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถคาดเดาได้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยน เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ เหมือนกับแรงโน้มถ่วง เหมือนฝนที่ตก

ซึ่งเราอาจจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฝนจะตกแล้วไปไหนบ้างเพราะเราไม่สามารถมองเห็น แต่เราสิ่งเรารู้แน่นอน คือเรารู้ว่าว่าสายฝนต้องตกลงสู่เบื้องล่างเสมอ เทคโนโลยีก็เช่นเดียวกันเราสามารถคาดเดาทิศทางได้ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้โทรศัพท์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนแทบทุกคนต้องมีใช้

ผมไม่ได้พูดถึง ไอโฟน (iPhone) แต่ผมกำลังพูดถึงอินเทอร์เน็ต นั่นต่างหากที่ทำให้โทรศัพท์กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้การเติบโตที่รวกเร็วของเทคโนโลยีทำให้เราเห็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายหลายสิ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่ง คือเราจะแนวโน้มที่สิ่งของทุกอย่างจะฉลาดขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการเก็บรวบรวม

และประมวลผลข้อมูล หรือที่หลายท่านเรียกกันว่า “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) เทคโนโลยีนี้มันคือสิ่งที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้เราเข้าใจในหลาย ๆ สิ่งได้อย่างรวดเร็ว หรือทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น และมันจะเป็นเทคโนโลยีที่จะมีอิทธิพลไปในอีก 20 ปีข้างหน้า

ซึ่งวันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะ เอไอ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานและอยู่ทุกที่ เพราะเรามันไม่เห็นมัน เพราะส่วนมากพวกมันทำงานเบื้องหลัง คุณเคยคิดหรือไม่ว่าทำไม Facebook ถึงแสดงผลในสิ่งที่เรายังไม่ทันคิดว่าจะสนใจอย่างจริงจัง

AI

นั้นก็เพราะมันถูก เอไอ ประมวลผล และคิดคำนวนจากข้อมูลของคุณนั่นเอง แล้ว เอไอ อยู่ที่ไหนได้อีกบ้าง คำตอบคือมันอยู่ได้ในทุกที่ ยกตัวอย่างเช่น ในโรงพยาบาล เราสามารถนำ เอไอ ไปช่วยอ่านฟิล์มเอกซเรย์ เพราะมันจะช่วยให้การอ่านได้ดีว่าใช้แค่แพทย์ในการอ่านซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดได้

หรือในสำนักงานทนายความ เราก็สามารถนำเอา เอไอ ไปใช้ในการรวบรวม และวิเคราะห์หลักฐานทางคดี ซึ่งปกติจะเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยทนายความ หากมองให้ใกล้ตัวมากขึ้น หลายคนอาจไม่ทราบว่า เครื่องบิน ที่เราใช้โดยสารส่วนใหญ่มันถูกขับด้วย เอไอ โดยนักบินจะควบคุมเครื่องบินแค่ 7-8 นาที ส่วนที่เหลือจะถูกควบคุมด้วย เอไอ

และแน่นอนว่ามันอยู่ในไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของพวกคุณแล้ว เหมือนที่ Netflix หรือ Amazon คอยแนะนำหนัง หรือสินค้าให้คุณได้แบบที่ตรงความความชื่นชอบของคุณนั่นล่ะ และมันไม่เหมือนกันในทุกคน สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นก็เพราะมันมี เอไอ ที่คอยเก็บข้อมูลพฤติกรรมของคุณ แต่แน่นอนว่า

คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้นหรือไม่ คำตอบคือทั้งใช่ และไม่ใช่ เพราะวันนี้เราได้เห็นกันแล้วว่า เอไอ ออกมาอยู่เบื้องหน้ามากขึ้น เช่น AlphaGo ชนะแชมป์หมากล้อมระดับโลกได้ นั่นก็เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งแนวโน้มนี้ก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ

ในอนาคตเราจะได้เล่นเกมกับ เอไอ มากขึ้น เพราะล่าสุด Google กำลังสอน เอไอให้เรียนรู้วิธีการเล่นเกมส์ ซึ่งการสอนให้เล่นเกมส์ถือเป็นอีกขั้น ในความฉลาดของ เอไอ ที่เรากำลังทำคือทำให้ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ ฉลาดขึ้น และฉลาดขึ้น

AI

เราต้องเข้าใจ 3 สิ่ง จึงจะใช้ เอไอ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ผมอยากจะบอกว่าวันนี้หลายคนยังให้คุณค่ากับ เอไอ น้อยไป เราสามารถเข้าใจ เอไอ ได้ดีขึ้น ถ้าหากเราเข้าใจ 3 สิ่งนี้ เพราะการยอมรับเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมทิศทาง ควบคุมทิศทางรายละเอียดได้

อย่างแรกก็คือ : “ความฉลาด” วันนี้เรายังเข้าใจน้อยมากว่าจริง ๆ แล้ว อะไรคือความฉลาด เรามักจะคิดถึงความฉลาดแค่เพียงหนึ่งมิติ เหมือนกับโน้ตตัวเดียวแต่เพิ่มความดังขึ้น เหมือนกับการวัด IQ ที่เรามักตีความว่ามีแค่ IQ ต่ำ กลาง สูง และอัจฉริยะ ความคิดแบบนี้ไม่ถูต้องในมุมมองของผม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความฉลาดของมนุษย์

ความฉลาดในมุมของผมมันเหมือนกับเพลงที่มีการผสานของโน้ตต่าง ๆ ซึ่ง โน้ตต่าง ๆ ถูกบรรเลงด้วยเครื่องมือของการรับรู้สารที่ต่างกัน มันมีความฉลาดหลายด้านในความสามารถของเราที่เราต้องคำนึง ไม่ว่าจะเป็นควาฉลาดแบบเหตุผล ความฉลาดทางอารมณ์, ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์

มนุษย์เรามีความฉลาดได้มากกว่านั้นซึ่งอาจถึง 100 ด้าน และแต่ละคนก็มีจุดแข็งในแต่ละด้านแตกต่างกัน และหากเรามองเปรียบเทียบสัตว์อื่น ๆ เราต้องมองอย่างเข้าใจพวกมันก็มีความฉลาด แต่เป็นความฉลาดที่มีความแตกต่างจากความฉลาดของมนุษย์ บางด้านก็เหมือนกับความฉลาดที่เรามี แต่มีการจัดเรียงที่แตกต่างออกไป

และในบางมุมอาจจะเหนือกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ อย่างเช่น ความจำของกระรอก ที่สามารถจำได้ว่าพวกมันฝังลูกนัทไว้ที่ไหน ในขณะที่มนุษย์อาจลืมเลือนเมื่อผ่านระยะเวลาไประยะหนึ่ง แน่นอนว่าในด้านอื่น ๆ กระรอกอาจด้อยกว่ามนุษย์ แต่ในบางมนุษย์ก็ด้อยกว่า

ดังนั้นเมื่อเราจะสร้าง เอไอ นั่นหมายถึงเรากำลังจะสร้างมันฉลาดกว่าเรามากในบางด้าน เราไม่ได้สร้างให้มันใกล้เคียงมนุษย์มันไม่จำเป็นต้องเหมือน แต่เรากำลังเพิ่มความหลากหลายทางความคิดให้ เอไอ และทำให้มันจำเพาะเจาะจงมากขึ้น เหมือนที่เราสร้างเครื่องคิดเลขให้มีความฉลาดเรื่องพีชคณิตกว่าเราแล้ว

เหมือนที่เราสร้าง GPS ก็ฉลาดกว่าเราในด้านมิติสัมพันธ์ เหมือนที่เราสร้างให้ Google หรือ Bing มีความจำระยะยาวดีกว่าเรา กล่าวคือเรากำลังจะทำให้มันมีความคิดที่ต่างกัน และใส่มันลงไปในสิ่งของเพื่อให้มันเรียนรู้ เช่น การนำ เอไอ ใส่ในรถยนต์ นั่นก็เพราะเราต้องให้มันขับรถแทนเรา

นั่นก็เพราะ เอไอ ไม่มีความคิดเหมือนมนุษย์ ทำให้มันไม่ถูกทำให้ไขว้เขว พวกมันไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มันจะไม่กังวลเกี่ยวกับว่าลืมปิดเตาไฟฟ้า หรือไม่ หรือไม่ต้องคิดว่ามันควรจะเรียนการเงินไหม เราแค่ทำให้มันเรียนรู้ที่จะขับรถ แค่ขับรถเท่านั้น!!

AI

โดยรวมแล้ว สิ่งที่เรากำลังพยายามทำกับ เอไอ วันนี้ คือสร้างการสิ่งที่คิดที่แตกต่างกันหลาย ๆ แบบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และให้ เอไอ ช่วยทำให้เราช่วยให้คิดในมุมที่แตกต่าง เพราะการคิดต่างนั้น คือ เครื่องจักรของการสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง ในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่

อย่างที่สองคือ : “ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้ง” กลับมาดูว่าแล้ว “เอไอ” จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมได้อยางไร เราผ่านมายุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 1, 2, 3 มาแล้ว อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ขยายความให้ชัดกล่าวคือเราก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงในด้านของการใช้ “พลัง” มาหลายรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้พละกำลังของมนุษย์ หรือพละกำลังสัตว์ สร้างหลายสิ่ง เปลี่ยนมาใช้พลังจากไอน้ำ และเชื้อเพลิงฟอสซิล ในยุคแรก เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซ และน้ำมัน ในการสร้างสรรค์การผลิต ในยุคที่สอง และต่อยอดการใช้พลังงานไฟฟ้าไปสู่การใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ในการคิดควนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

เช่นเดียวกันสิ่ง เอไอ จะทำให้ ให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้อีกครั้งคือ การใส่มันเข้าไปในสิ่งที่มีอยู่เพื่อเพิ่มพลังในการวิเคราะห์ และควบคุม ที่มีประสิทธิภาพ ลองคิดว่าหากเราใส่ เอไอ และพลังงานไฟฟ้า ไปในปั๊มน้ำแบบปั๊มมือ เราก็จะได้ใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้าที่ทำงานได้เรียนรู้ได้เอง และลองคิดแบบคูณพันคูณหมื่น หรือคูณเข้าไปล้านเท่า เราก็จะมีปั๊มน้ำไฟฟ้าที่จะสามารถ

ปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เลย กล่าวคือเราต้องทำให้ เอไอ ไปอยู่ในหลายสิ่ง กระจายไปให้ทั่ว เหมือนที่เรามีไฟฟ้า ใช้กันแทบจะทุกที่ แล้วเชื่อมโยงมันเข้าหากัน สอนให้มันคิด ให้เรียนรู้  เราก็จะได้เน็ตเวิร์ค เอไอ ที่ส่งข้อมูลให้กัน ข้อมูลที่มหาศาลที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

AI

อย่างที่สาม : “หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ ไม่ได้แย่งงาน” เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีหุ่นยนต์ได้ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยเมื่อเรานำ เอไอ มาผนวกเข้ากับนวัตกรรมหุ่นยนต์ เราก็จะได้หุ่นยนต์ที่ฉลาดมากขึ้น วันนี้ความเชื่อว่าหุ่นยนต์กำลังจะแย่งงานมนุษย์นั้นเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซักทีเดียว

เราควรมองมันเป็นเครื่องมือ ที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างที่เราทำได้แล้ว งานที่เป็นงานหนักและต้องทำซ้ำ ๆ ตรงจุดหนั้นต่างหากคือสิ่งที่หุ่นยนต์จะเข้าไปแทนที่ เราควรมองหุ่นยนต์ที่ฉลาดมากขึ้นหลังจากมี เอไอ เข้าเพิ่มทักษะในการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงานมากกว่า เพราะพวกมันจะทำงาน

และช่วยจัดการงานให้เป็นรูปแบบใหม่ ทำให้มันกลายเป็น ”ผู้ช่วย” ที่จะสร้างรูปแบบงานแบบใหม่ รูปแบบงานที่ไม่เคยรู้มาต้องทำมาก่อน และช่วยให้มันสร้างงานให้เรา นั้นต้องเป็นงานที่สามารถระบุประสิทธิภาพ และผลิตภาพได้ โดยมนุษย์จะเป็นผู้กำหนดว่าจะให้หุ่นยนต์เหล่านี้เรียนรู้ที่จะทำงานอะไร และหาคำตอบที่ดีกว่ามาให้

ส่วนมนุษย์ก็ไปทำงานในส่วนที่ “ไร้ประสิทธิภาพ” ใช่ครับมนุษย์ต้องไปทำในสิ่งที่ไร้ประสิทธิภาพ  เพราะความไร้ประสิทธิภาพคือการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ ขึ้นมาจากความผิดพลาด การลงมือทำแล้วล้มเหลว และพยายามทดลองซ้ำจนได้ผลลัพท์ที่ต้องการ เช่น งานวิทยาศาสตร์ ก็ถือเป็นตัวอย่างการไร้ประสิทธิภาพ

สิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากวิทยาศาสตร์ มันเกิดขึ้นจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า มันเกิดจากการทดสอบ และการทดลองต่าง ๆ ที่ใช้ไม่ได้ เพื่อเรียนรู้ และปรับปรุง จนสามารถสร้างต้นแบบขึ้นมาได้  หรือเราจะไปทำในเรื่องของการสำรวจ ก็ได้ การสำรวจเป็นอีกตัวอย่างของความไร้ประสิทธิภาพที่ดี  

เพราะเราสำรวจเพื่อที่ล้มเหลวเพื่อที่จะหาคำตอบของความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เราควรจะมุ่งไป เพราะมันไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพเป็นเรื่องของหุ่นยนต์ เราต้องเลือกที่จะเรียนรู้ และทำงานร่วมกับ เอไอ เพราะว่าพวกมันคิดแตกต่างจากเรา มันไม่ไขว้เขว มันไม่คิดแบบมนุษย์ เอไอจะมุ่งหาคำตอบที่ดีที่สุดจากโจทย์

ที่เราต้องการ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ Deep Blue เอไอ เอาชนะแชมป์หมากรุกได้ ผู้คนคิดว่าจะถึงจุดจบของเกมส์หมากรุก แต่รู้หรือไม่ว่าปัจจุบัน แชมป์หมากรุกของโลก ไม่ใช่ เอไอ และก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น ”ทีม” ระหว่างมนุษย์ เช่นเดียวกันกลุ่มแพทย์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่มนุษย์ หรือ เอไอ แต่เป็นทีมแพทย์ที่ทำงานด้วยข้อมูล เอไอ ช่วยหามาให้

AI

เรียนรู้ที่จะใช้งานให้มากกว่ากังวลว่าจะมาแย่งงาน

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินไปว่าเรากำลังก้าวไปยุคที่จะต้องทำงานร่วมกับ เอไอ และกำลังจะกลายเป็นอาชีพที่จะได้ค่าตอบแทนการทำงานในอนาคต ด้วยโจทย์ว่าคุณจะสามารถทำงานกับ เอไอ ได้ดีแค่ไหน เราควรมองมันให้แตกต่าง มองมันเป็นเครื่องมือ เป็นสิ่งที่เราต้องร่วมงานด้วยแทนที่จะต่อต้าน

ต้องคิดว่าในอนาคต พวกมันจะนำเราไปยังจุดไหน ซึ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องที่ เอไอ จะมาแย่งงาน แต่ควรกังวลว่า ณ วันนี้ เรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เอไอ มากเพียงพอกับความต้องการเลย เราเห็นเม็ดเงินมากมายใช้ไปในการพัฒนา เอไอ  เม็ดเงินเป็นพันล้านเหรียญ แต่เรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะมีในอีก 20 ปีข้างหน้า

ดังนั้นเราต้องเข้าใจใหม่ว่าเรายังไปไปถึงจุดนั้นจุดที่เรากังวล จุดที่เรากลัวการแย่งงาน แต่กำลังอยู่ที่จุดเริ่มต้นของจุดเริ่มต้น เรากำลังอยู่ในชั่วโมงแรก ของสิ่งที่กำลังมาถึงจาก เอไอ ที่จะใช้กันอย่างกว้างขวางใน 20 ปีหน้า เพราะสิ่งที่ทุกคนอยากใช้ ยังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้น

นั้นหมายความว่ายังไม่สายไปสำหรับการที่จะเปลี่ยนจะใช้ “พลัง” จาก เอไอให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่กล่าวมา ผมไม่ได้พยายามจะบอกว่า เอไอ นั้นดีกว่ามนุษย์ แต่เราสามารถอยู่กับมันได้

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน : ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพประกอบ และข้อมูลบางส่วนจาก : www.pexels.com, www.ted.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ eleaderfanpage