หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ในส่วนของนโยบายการสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลได้กำหนดให้มีการส่งเสริมและวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิตอลของประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งมีทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 5 ด้าน คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Hard Infrastructure) โครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการ (Service Infrastructure) โครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐาน (Soft Infrastructure) ด้านส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Digital Economy Promotion) และด้านการพัฒนาสังคมดิจิตอล (Digital Society) โดยเปิดให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน และรัฐจะเปิดให้เอกชนมาประมูล โครงการต้องเสร็จภายใน 12 เดือน และเปิดใช้งานให้ได้ภายใน 10 เดือน

ICT

จากมติดังกล่าวส่งผลให้แนวโน้มของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง รัฐกับเอกชนจะเข้ามาร่วมกันลงทุน โดยจะมีหน่วยงานกลางรับผิดชอบในการกำหนดมาตรฐานการให้บริการ มาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูล เพื่อให้คุณภาพและราคาค่าบริการที่หน่วยงานภาครัฐใช้บริการอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยรองรับ มีสัดส่วนของพื้นที่เหมาะสมในการให้บริการตามความต้องการของท้องถิ่นทั่วประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ทุกแห่งจะมีการเชื่อมต่อถึงกัน และสามารถนำไปสู่การบริหารข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเช่น Big Data ได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์หรือไอดีซี มีความจำเป็นมากสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล ที่จะทำให้เกิดปริมาณข้อมูลมหาศาล ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องการจะนำเอาความต้องการใช้งานของภาครัฐไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนธุรกิจของเอกชน แต่ปัจจุบันยังมีผู้ให้บริการไม่มาก และแต่ละแห่งไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกัน ดังนั้นเพื่อสร้างเสถียรภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งประเทศ รัฐต้องสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่โดยหน่วยงานรัฐจะเป็นผู้ใช้รายใหญ่ เพื่อกระตุ้นความต้องการโดยรวมของประเทศขึ้นมา โดยดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้อาจเป็นการร่วมลงทุนกับทางภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ทาง EGA กำลังศึกษารายละเอียดร่วมกับผู้ให้บริการไอดีซีทั้งภาครัฐและเอกชน

“ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า “Data Center Consolidation” หรือ การรวมศูนย์ครั้งใหญ่ทั้งของภาครัฐและเอกชน จะไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อนกันอีกแล้วโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐ ทำให้รัฐเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่จะเห็นคือ ภาครัฐต้องกระโดดมาเป็น Digital Government ไม่ใช่แค่เป็น e-Government เพราะขณะนี้ภาคเอกชน ภาคประชาชนกำลังเข้าสู่ยุค Digital Citizen แล้ว ภาครัฐต้องไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ การให้บริการต้องสามารถผ่านระบบเหล่านี้ได้ทันที ภาครัฐต้องกลับมาดูแลเฉพาะเรื่องการปรับปรุงบริการ กระบวนการทำงานหรือพัฒนาบริการอะไร อย่างไร ให้เป็น Smart Service ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากที่สุด” หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวเพิ่มเติม

3 ภารกิจก.ไอซีที ก้าวสู่ Digital Government
พรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเสริมว่า รัฐบาลมองเห็นอนาคต และต้องการนำประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมที่มั่นคงและแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในระดับเวทีโลกได้ ดังนั้นการลงทุนด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกด้านจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างรอบคอบและมีทิศทาง ในขณะที่ทุกภาคส่วนกำลังขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลง ภาคราชการก็ต้องร่วมมือกันพัฒนาภาครัฐในภาพรวมให้ก้าวสู่การเป็น Digital Government ด้วย โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นองค์กรหลักที่เข้ามาขับเคลื่อนในด้านนี้ โดยจะยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ Digital Government ในหลายส่วน ซึ่งสำหรับในงานสัมมนา “ก้าวสู่ Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy” ด้วยเรื่องภารกิจสำคัญเร่งด่วน 3 ประการ ได้แก่

การบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Data Center Consolidation) อันถือเป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิตอล เมื่อเกิดการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ลดความซ้ำซ้อนในการใช้งบประมาณจัดหาอุปกรณ์ และลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณในภาพรวมของประเทศ

การบูรณาการข้อมูลบริหารสำหรับศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Operation Center : PMOC) โดยดำเนินการให้มีระบบรายงานเพื่อใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศที่ทันสมัย ใช้ในการติดตามการดำเนินงาน รวมถึงรายงานเหตุการณ์เร่งด่วนต่างๆ และการแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งระบบดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วน

การบูรณาการการให้บริการประชาชน (Smart Services) อันสืบเนื่องมาจากพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งมุ่งใช้แนวทางการลดสำเนาเอกสารราชการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยการบูรณาการระบบบริการของราชการให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานราชการ มีเป้าหมายนำร่อง 7 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เชื่อมโยงเข้ากับระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อลดการขอสำเนาเอกสารราชการจากผู้ขอรับบริการ รวมถึงการนำร่องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบางบริการของรัฐได้ด้วยตนเองผ่านตู้บริการอเนกประสงค์ของรัฐ (Government Kiosk for Self-Service)

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญซึ่งจะผลักดันให้ภาครัฐทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานเพื่อสร้าง Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy อย่างเป็นรูปธรรม คือการได้รับนโยบายจากผู้บริหารระดับสูง เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงความจำเป็นเร่งด่วน และความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลตามภารกิจเร่งด่วนทั้ง 3 ประการข้างต้น

EGA เตรียมยกระดับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่รัฐบาลดิจิตอล
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA กล่าวว่า ที่ผ่านมา EGA เป็นหน่วยงานหลักดูแลเรื่อง e-Government ของประเทศ เร่งดำเนินงานในหลายโครงการเพื่อรองรับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิอตลตามที่รัฐบาลในชุดนี้มุ่งหวังและพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้ราชการยุคใหม่ก้าวกระโดดขึ้นเป็น Digital Government ซึ่งเรื่องสำคัญคือการบูรณาการข้อมูล ที่ภาครัฐจะต้องเป็นตัวนำร่อง เพราะข้อมูลจากเอกชนบางส่วนจะเกิดจากการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐ โดยนอกจากการเร่งดำเนินการเรื่อง “Data Center Consolidate” ขณะนี้ได้สั่งการให้ EGA เร่งทำโครงการ Open Data ในภาครัฐ ที่เป็นการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานรัฐจะต้องมีโครงการนำร่องในการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลที่เป็นมาตรฐาน เพื่อทำให้แต่ละหน่วยนำข้อมูลไปบูรณาการ และพร้อมจะให้ประชาชนนำไปต่อยอดได้อีก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Hard Infrastructure) ไปพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการ (Service Infrastructure)

ส่วนงานจัดการกับศูนย์ดาต้าของหน่วยงานราชการเดิมที่มีอยู่แล้ว กับดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่จากภาคเอกชนที่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะต้องมีการปรับโยกย้ายหรือนำเข้าระบบเดียวกับศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในที่สุด นอกจากนั้น EGA จะพิจารณาการลงทุนทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เน็ตเวิร์กกิ้งและระบบรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการจัดสรรเกต์เวย์หรือช่องทางการสื่อสารออกสู่ต่างประเทศที่เหมาะสมอีกด้วย