กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ (NEA) เผยสถานการณ์ส่งออกไทยไปยัง CLMVT ยังมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสานต่อโครงการ CLMVT Executive Program on New Economy ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 มุ่งเป้าไปที่การสร้างแบรนด์อาเซียนให้มีความแข็งแกร่ง และส่งเสิรมการใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ…

highlight

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยสถานการณ์ส่งออกไทยไปยัง CLMVT ยังมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4.33 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2561 มีมูลค่าอยู่ที่ 4.36 แสนล้านบาท และปี 2560 มีมูลค่า 4.11 แสนล้านบาท พร้อมเผยได้จัดทำยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานด้านการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้แนวคิด Stronger Together 
  • สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ (NEA) สานต่อโครงการ CLMVT Executive Program on New Economy ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หวังช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนภายในกลุ่มประเทศ CLMVT และประเทศอาเซียนอื่น ๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และส่งเสริมการใช้เครื่องมือดิจิทัลพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ

NEA เดินหน้าสานต่อโครงการ CLMVT Executive Program on New Economy ปีที่ 3 

ปริญญ์ พานิชภักดิ์  กรรมการบริหารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที  (CLMVT) ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจของนักลงทุนทั่วโลก

ด้วยการที่มีทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ของภูมิภาค อีกทั้งยังได้ปัจจัยเสริมในด้านคมนาคมขนส่ง แรงงาน และการปรับตัวของประชากรที่ก้าวไปสู่สังคมเมืองที่เอื้อต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆประเภท นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ ภูมิภาคดังกล่าวยังจะกลายเป็นช่องทางการค้าที่มีความคำคัญ

รวมทั้งเป็นภูมิภาคที่ประเทศมหาอำนาจจะเริ่มเข้ามาสร้างความสัมพันธ์และโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยควรใช้ความได้เปรียบจากการเป็นศูนย์กลางสร้างบทบาทต่างๆให้เพิ่มมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงิน การเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยี การกระจายสินค้า รวมทั้งการกำหนดนโยบาย มาตรการ และสิทธิประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

NEA
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการบริหารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่

ซึ่งจากสถานการณ์ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2562 (มกราคม–มิถุนายน) การส่งออกของประเทศไทยไปยัง CLMVT มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4.33 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2561 มีมูลค่าอยู่ที่ 4.36 แสนล้านบาท และปี 2560 มีมูลค่า 4.11 แสนล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 และปี 2561 ที่ผ่านมา 

ถือว่ายังมีมูลค่าการส่งออก และเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มูลค่าการส่งออกของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องได้แก่ เวียดนาม  โดย 6 เดือนแรกของปี 2560 , 2561 และ 2562  มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.8 , 1.85 และ 1.93 แสนล้านบาทตามลำดับ

และกัมพูชา มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท1.07 แสนล้านบาท และ 1.09 แสนล้านบาทตามลำดับ โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นที่ต้องการใน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ได้แก่ น้ำมันและเชื้อเพลิง เครื่องจักร และอุปกรณ์ เครื่องดื่ม ชิ้นส่วน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ 

จากแนวโน้มดังกล่าว กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าถือเป็นโอกาสทางการค้า และสามารถผลักดัน ให้ประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเดียวกันมีบทบาทในเวทีการค้าโลก ได้ จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์ และแผนการดำเนินงานด้านการค้าระหว่างประเทศ

การเติบโตของโครงการ จากการสร้างเครือข่ายในกลุ่มประเทศ CLMVT และขยายสู่กลุ่มอาเซียน ทำให้เกิด Common Stand และ Identity ให้กับพวกเราบนเวทีโลก

ภายใต้แนวคิด “เติบโตไปด้วยกัน (Stronger Together) เพื่อรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีต่อกลุ่มประเทศ CLMVT และอาเซียน ทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยแนวคิดนี้จะช่วยให้ไทย และประเทศสมาชิกสามารถบูรณาการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างก้าวหน้า และยั่งยืน นอกจากนี้เพื่อสร้างโครงข่ายความร่วมมือให้เข้มแข็ง ทางกรมฯ จึงได้ผนึกกำลังร่วมกับสำนักงานนโยบาย และยุทธศาสตร์การค้า (TPSO) เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ แนวคิด และประสบการณ์

รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ผู้นำทางเศรษฐกิจ จากทั้งภาครัฐและเอกชนภายใต้ โครงการ CLMVT Executive Program on New Economy โดยที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวได้สร้างครือข่าย และโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศ CLMV มาแล้วมากมาย โดยเฉพาะการสะท้อนถึงปัญหา อุปสรรค และนโยบายการแก้ไขที่จะช่วยให้ก้าวทันกับบริบทของการค้าโลก

NEA
บรรยากาศผู้เข้าร่วมงาน CLMVT+

สานต่อโครงการด้วย การขยายผล และต่อยอด

นันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กล่าวว่า โครงการ CLMVT Executive Program on New Economy เป็นโครงการที่รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) ระหว่างประเทศไทย และประเทศ CLMV 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ จึงได้ริเริ่มโครงการนี้เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนภายในกลุ่มประเทศ CLMVT โดยในปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อโครงการ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 

ซึ่งในปีนี้ เราได้ขยายผล และต่อยอดจากปีที่ผ่านมาในหลายมิติ โดยการขยายกลุ่มประเทศเป้าหมายผู้ร่วมโครงการจาก CLMVT ต่อยอดสู่ ASEAN ซึ่งจัดว่าเป็น Emerging Market มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีบทบาทสำคัญในตลาดโลก รวมถึงการขยายหลักสูตรเป็น 5 วัน

NEA
นันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA)

โดยร่วมกับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า นำเสนอการใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ หรือ Cross-Border Digital Trade สำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ อันสอดคล้องกับวาระสำคัญที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นประธานอาเซียน จึงได้กำหนดจัดงานภายใต้แนวคิดหลัก ASEAN Branding

โดยในปีนี้ ผู้ร่วมโครงการเป็นผู้บริหารระดับสูงทั้งสิ้น 69 ราย จาก 9 ประเทศ  แบ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ 30 %  และจากภาคเอกชน 70 % โดยสาขาธุรกิจที่หลากหลาย อาทิ อาหาร ก่อสร้าง ความงาม  เทคโนโลยีและบริการ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการต่อยอดทางการค้า และการลงทุนระหว่างกัน

ซึ่งหากกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันบนพื้นฐานด้านวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน และจะช่วยสร้างเครือข่ายมิตรภาพระหว่างกันและจะพัฒนาเป็นเครือข่ายธุรกิจที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน รวมทั้งแบ่งปันประสบการณ์การทำงานกันซึ่งกันและกัน อันนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม

และนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับ ASEAN ได้ต่อไป ซึ่งในวันนี้แม้ว่ากลุ่มอาเซียนมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ซึ่งเป็นฐานและเป็นผู้บริโภคที่น่าสนใจ  แม้ว่าเราจะเป็นแหล่งผลิตสินค้าชั้นนำ แต่ยังขาดอัตลักษณ์บนเวทีการค้าโลก การสร้าง ASEAN Branding ที่ยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ทางกรมจึงได้เชิญ Professor Len Middleton  และ Dr.Krishnan วิทยากรจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน รอสส์ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการสร้างแบรนด์และกลยุทธ์การตลาด ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นอย่างดี มาทำ Workshop เรื่องการสร้างแบรนด์

รวมไปถึงการจัดสัมมนา Cross-Border Digital Trade Conference นำเสนอการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Site Visit เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรม หัวเว่ย (Huawai) ซึ่งแสดงถึงศักยภาพเทคโนโลยี IoT ที่ช่วยยกระดับการศึกษา

และการพัฒนา The Smart City” เป็นตัวอย่าง และกรณีศึกษาในการนำเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพชีวิต และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันอีกด้วย

NEA
วิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ด้าน วิทยากร มณีเนตร รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การสร้างศักยภาพทางการแข่งขันการค้าโลกด้วย ASEAN Branding นั้นเป็นเร่ืองสำคัญ และต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการที่มากร่วมโครงการ ซึ่งทั้ง 2 วิทยากร ที่ทางกรมฯ ได้เชิญมา นั้น

จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และเปิดโลกการสื่อสารด้านการสร้างแบรนด์ให้กับกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนการสร้างพันธมิตรด้านนวัตกรรม รองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล ได้อย่างยั่งยืน และนอกเหนือไปจาก 2 วิทยากร ทางกรมยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอีกหลายสาขา มาเข้าร่วมให้ความรู้ในหัวข้อต่าง ๆ

เพื่อการเรียนรู้แนวความคิดดิจิทัล และการใช้เครื่องมีทางเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ วิธีใช้ อี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce) เพื่อสร้างช่องทางการขาย, การใช้ประโยชน์จากข้อมูลจำนวนมาก (Big Data), การเตรียมพร้อมรับมือเมื่อโลกเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) และแนวทางการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคธุรกิจ เป็นต้น

โดยโครงการ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 ในครั้งนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ 

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่