หัวเว่ย เผย แนวโน้มในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ 5G ในงานประชุม APSM ครั้งที่ 4 ระบุผู้ประกอบการแต่ละรายต้องมีคลื่นความถี่อย่างน้อย 100 MHz

หัวเว่ย ออกโรงเตือนโอเปอเรเตอร์ ระบุต้องมีจำนวนคลื่นทำ 5G ไม่น้อยกว่า 100 MHz

หัวเว่ยเผยแนวโน้มในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ 5จี ในงานประชุม Asia-Pacific Spectrum Management หรือ APSM ประจำปี ครั้งที่ 4 ที่ผ่านมา ระบุผู้ประกอบการแต่ละรายต้องมีคลื่นความถี่ 100 MHz เป็นอย่างน้อย

มร. ตู้ เย่ชิง รองประธานบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ 5จี ของ หัวเว่ย กล่าวว่า คลื่นความถี่ย่าน C-band คือคลื่นความถี่ที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับ 5จี โดยโอเปอเรเตอร์ในหลายประเทศทั่วโลกได้เลือกใช้หรือกำลังจะเลือกใช้ และโอเปอเรเตอร์แต่ละรายจำเป็นต้องมีคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 100 MHz 

เพื่อเป็นรากฐานความสำเร็จทางธุรกิจของ 5จี เพราะการมีคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีขึ้นถึง 10 เท่า และยกระดับโมบายบรอดแบนด์ให้ก้าวไปสู่อีกระดับ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินไปกับบริการคุณภาพสูงได้ทุกที่ทุกเวลา

5G
มร. ตู้ เย่ชิง รองประธานบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ 5G ของหัวเว่ย กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “C-Band คลื่นความถี่หลักเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ 5G”

ซึ่ง 5จี ในปัจจุบันเน้นไปที่การเตรียมแผนการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน C-band ให้ลงตัว แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและความต้องการหลักที่สำคัญอื่น ๆ ก็ไม่ควรถูกมองข้ามไป เช่น การแยก uplink-downlink ให้สามารถลดจำนวนไซต์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้

ด้วยการติดตั้งใช้งาน 5จี บนคลื่นความถี่ 2จี/ 3จี/ 4จี ที่มีอยู่เดิม ทั้งยังช่วยให้การครอบคลุมสัญญาณคลื่น C-band มีความต่อเนื่อง   นอกจากนี้ เครือข่าย 5จี ยังต้องการการซินโครไนซ์ที่แม่นยำ การรบกวนสัญญาณต่ำ การแยกสเปกตรัมน้อย และประสิทธิภาพของคลื่นความถี่ที่สูงขึ้น

ประเทศที่มีคลื่นความถี่ C-band ไม่เพียงพอสามารถที่จะจัดสรรคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 100 MHz บนความถี่ประเภท TDD 2.6 หรือ 2.3 GHz ให้แก่โอเปอเรเตอร์แต่ละราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน ในขณะเดียวกันก็ช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาไปสู่คลื่นความถี่สูงของ 5จี

โมบายบรอดแบนด์ที่มีทรัพยากรคลื่นความถี่รองรับเป็นตัวขับเคลื่อนให้ GDP เติบโตขึ้นได้ ดัชนีการเชื่อมโยงสื่อสารทั่วโลก ประจำปี 2561 (2018 Global Connectivity Index หรือ GCI) ของหัวเว่ย

ได้บ่งชี้ว่าประเทศที่ให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยคาดว่าในปี พ.ศ. 2568 เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

5G

ในแง่ของการเลือกคลื่นความถี่และเทคโนโลยี และความต้องการด้านความจุโครงข่าย (Capacity)  โอเปอเรเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งไทย ศรีลังกา พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เชื่อว่าการรวมคลื่นความถี่ (ย่านความถี่ต่ำ กลางและสูง) เป็นสิ่งที่เหมาะสมในด้านความครอบคลุมของสัญญาณ ความจุโครงข่าย

และความต้องการด้านระดับบริการของเทคโนโลยี 4จี และ 4.5จี ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้และกระตุ้นการเติบโตของผู้ประกอบการได้ดียิ่งขึ้น  ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้น่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่นำไปใช้กันโดยทั่วไปสำหรับการใช้งานเครือข่าย LTE และคลื่นความถี่ในยุค 5จี ที่กำลังจะเกิดขึ้น

โดยภายในงาน Asia-Pacific Spectrum Management ซึ่งจัดขึ้นโดย Forum Global,  สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชีย และแปซิฟิก (Asia-Pacific Telecommunity – APT) ระหว่างวันที่ 17 – 19 กรกฎาคม 2561 ที่กรุงเทพฯ

หัวเว่ย คือหนึ่งในผู้สนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้หน่วยงานในกำกับดูแลของภาครัฐ บริษัทโทรคมนาคม ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่นในอุตสาหกรรมได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดการจัดสรรคลื่นความถี่ได้ดีที่สุดและการกำหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่ชัดเจน

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุประสงค์มุ่งเพื่อโจมตีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง 
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Digital Content)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่