เดลต้า ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก้าวไปข้างหน้าด้วยความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 30 ปี พร้อมปรับเป้าหมายใหม่ เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยเริ่มต้นจากธุรกิจที่เน้นการออกแบบและการผลิตสินค้าด้านการจัดการพลังงานและความร้อน

ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา Delta ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย [SET: DELTA] และได้รับรางวัลมากมายด้านนวัตกรรมและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นมา เดลต้า ประเทศไทย ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเป็นสามด้านด้วยกัน ได้แก่ พาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติ และโครงสร้างพื้นฐาน

ปัจจุบันจุดเด่นและความสนใจที่หลากหลายของ Delta ช่วยเสริมสร้างความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในประเทศไทยได้อย่างชัดเจน จากการที่เดลต้าให้ความสำคัญกับโซลูชั่นต่างๆ ซึ่งตอบสนองความต้องการที่เป็นกระแสหลักของโลก (เมกะเทรนด์) ได้แก่

ระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานหมุนเวียน และระบบจัดเก็บพลังงาน ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับค่านิยมของเดลต้า ประเทศไทย ในการสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ดำรงรักษาชื่อเสียงในฐานะบริษัทข้ามชาติที่มีความคิดก้าวหน้า และมั่นใจได้ว่าผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

นายเซีย เชน เยน ประธานบริหารบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เดลต้าอยู่ในสถานะที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยธุรกิจและโลกของเราให้ดำเนินงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพ โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเดลต้าได้ปรับตัวให้ทันต่อการนำทรัพยากรของเดลต้าสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างผลกระทบให้ได้มากที่สุด”

ระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติ: นวัตกรรมระดับโลกสำหรับภูมิภาค

แง่มุมที่สำคัญอีกประการสำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 คือ อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนโรงงานต่างๆ จากเดิมที่อาศัยการใช้แรงงานไปเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงเครื่องจักรอัจฉริยะต่างๆ ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เดลต้า ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติมาอย่างยาวนาน

โดยมีผลิตภัณฑ์ทุกประเภทในสายการผลิต เช่น ชุดเฟืองแพลนเนตตารี่เพิ่มความเร็วรอบ และอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนที่ รวมถึงระบบควบคุมที่ซับซ้อน และระบบเครื่องจักรที่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ หรือ human machine interfaces (HMI) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 Delta ประเทศไทย ได้ขยายธุรกิจระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศอินเดีย

หนึ่งในโซลูชั่นระดับโลกของเดลต้า ได้แก่ สายการผลิตอัจฉริยะแบบมัลติทาสกิ้งที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นระบบบูรณาการที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์หลายรายการได้อย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในองค์ประกอบเฉพาะของระบบนี้คือ หุ่นยนต์ข้อต่อแบบหกแกน DRV ซีรีส์ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลด้วยรางวัล iF Design Award ปีพ.ศ. 2561

ระบบดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ: กระดูกสันหลังหลักของชีวิตยุคดิจิทัล

ขณะที่ประเทศไทยเปลี่ยนจากเศรษฐกิจบนพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักไปสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์จึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อภาคธุรกิจ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud computing) อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งหรือ IoT (Internet of Things) อินเทอร์เน็ตบนมือถือ และการรวบรวมบิ้กดาต้า

ทำให้ธุรกิจสมัยใหม่ต้องลงข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ ในการบริหารจัดการข้อมูลสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่มากมาย เพื่อให้ธุรกิจจำนวนมากสามารถจัดการกับความท้าทายนี้ได้ Delta ประเทศไทย ได้ออกแบบโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานระบบดาต้าเซ็นเตอร์ (InfraSuite) โดยศูนย์รวมข้อมูลบิ๊กดาต้าเหล่านี้ ครอบคลุมถึงระบบบริหารงานครบถ้วนสมบูรณ์ของเดลต้า ระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบทำความเย็น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และระบบการบริหารจัดการ

ดาต้าเซ็นเตอร์โซลูชั่นของเดลต้าออกแบบมาเพื่อปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับหลากหลายประเภทธุรกิจ ดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ทรงประสิทธิภาพ ใช้พลังงานน้อย และปรับเปลี่ยนขนาดได้ตามความต้องการทางธุรกิจและพื้นที่ เดลต้า ยังคอยให้การดูแลอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การออกแบบเพื่อติดตั้งรวมถึงการบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง

การชาร์จประจุยานยนต์ไฟฟ้า: บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ยานยนต์ไฟฟ้า ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสีเขียวรูปแบบใหม่ของเอเชีย และรัฐบาลไทยคาดหวังว่าจะมียานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ 1.2 ล้านคัน ภายในปีพ.ศ. 2579 เพื่อสนับสนุนแผนโยบายนี้จึงจำเป็นต้องมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ารองรับเป็นจำนวนมาก

ซึ่งเดลต้าอยู่ในสถานภาพที่พิเศษกว่าผู้อื่นที่สามารถจัดให้บริการติดตั้งสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ยกระดับความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการแปลงและจัดการพลังงาน เพื่อสร้างเครื่องชาร์จแบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ใช้ทั้งระบบภาพสัญลักษณ์สื่อสารกับผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ หรือ Graphical User Interface (GUI) และแอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟนในการติดตั้ง การใช้งาน และการบำรุงรักษาเพื่อลดความยุ่งยาก

เมื่อต้นปีนี้ เดลต้าเปิดตัวอุปกรณ์ชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบชุดในประเทศอินเดีย และจะเปิดโรงงานผลิตในปีพ.ศ. 2562 เดลต้ายังวางแผนที่จะขยายงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวงในกรุงเทพมหานคร และสถาบันยานยนต์ในบางปู เพื่อให้บริการโซลูชั่นสำหรับการชาร์จประจุไฟยานยนต์ไฟฟ้า

ในปีนี้ Delta เข้าร่วมกับสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในฐานะหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถจัดหาโซลูชั่นการชาร์จประจุไฟยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศ การเป็นสมาชิกของเดลต้าเป็นผลมาจากความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้านยานยนต์ชั้นนำของรัฐบาลไทย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกำหนดรูปแบบการชาร์จประจุไฟยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

โซลูชั่นพลังงานหมุนเวียน: กุญแจสำคัญในการต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน

Delta ได้ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับพลังงานสีเขียวและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เดลต้าได้รับคัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำหรับหุ้นยั่งยืนเป็นเวลาต่อเนื่องถึง 3 ปี (พ.ศ. 2558-2560) และยังเป็นหนึ่งใน 21 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดหลักทรัพย์สูงกว่าล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์แปลงไฟจากโซลาร์เซลล์ (PV) ของเดลต้า ครอบคลุมความต้องการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดตั้งแต่หลังคาที่อยู่อาศัยไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม โดยผลิตภัณฑ์นี้ประกอบไปด้วยโมเดล M30A และ M50A รุ่นใหม่ ที่มีขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา

ปัจจุบันสำนักงานของเดลต้าในประเทศไทย ได้ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แล้ว รวมทั้งสิ้น 4 เมกะวัตต์ เดลต้าจะติดตั้งระบบจัดเก็บพลังงาน (ESS) ขนาด 500 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (kWh) ที่สำนักงานใหญ่ในบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อใช้ในการวิจัยความยั่งยืนต่อไป พร้อมแผนการที่จะขยายขอบเขตสู่ตลาดที่กำลังเติบโตต่อไปในอนาคต

ระบบจัดเก็บพลังงาน: เปิดตัวเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานสู่ภูมิภาคสำหรับอนาคตรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เพิ่มความพยายามปรับปรุงอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำหรือระบบไมโครกริด (Micro Grid) กลายเป็นโซลูชั่นยอดนิยม เพื่อการทำงานแบบต่อเนื่องและจัดหาพลังงานแก่พื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เดลต้าได้ยกระดับระบบจัดเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อให้ตรงกับความต้องการด้านพลังงาน เมื่อปริมาณไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟแบบกริดอยู่ในระดับต่ำมากหรือนำพลังงานที่ผลิตได้ไปเก็บไว้ในช่วงเวลาการใช้งานต่ำสำหรับช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟสูงสุด สำหรับกริดที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระบบจัดเก็บพลังงานของเดลต้า สามารถจัดเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน และระบบกริดจะทำงานในช่วงกลางคืน พลังงานที่เก็บไว้นี้สามารถนำมาใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพในการจ่ายไฟเมื่อขายพลังงานแสงอาทิตย์นี้ให้กับระบบกริดหรือเมื่อใช้พลังงานโดยตรง ข้อได้เปรียบจากการเพิ่มประสิทธิภาพกำลังไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ และให้ปริมาณไฟฟ้าสูงสุด มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ทำให้ระบบจัดเก็บพลังงานของเดลต้ากลายเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วภูมิภาค

ระบบจัดเก็บพลังงานแบบบูรณาการของเดลต้าประกอบด้วยระบบปรับอาการสองทิศทาง อุปกรณ์แบตเตอรี่ ระบบควบคุม และระบบการจัดการแบบคลาวด์เพื่อให้บริการการจัดเก็บพลังงานครอบคลุมสำหรับการใช้งานในที่พักอาศัย การใช้งานเชิงพาณิชย์และระบบสาธารณูปโภค โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไออนของเดลต้าครอบคลุมเซลล์ โมดูลขนาด 24V แล 48V ตู้จัดเก็บ และคอนเทนเนอร์สำหรับความต้องการที่หลากหลาย และเนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หวังที่จะพัฒนาเป็นตลาดหลักสำหรับระบบไมโครกริด เดลต้าจึงอยู่ในฐานะผู้บุกเบิกด้านระบบการจัดเก็บพลังงานในภูมิภาคนี้ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อระบบกริดในอนาคต

ก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่า

ในการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 เดลต้า ประเทศไทย จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ สำหรับอนาคต เหมือนในหลายปีที่ผ่านมา การันตีด้วยรางวัลต่างๆ มากมายที่ได้รับ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เดลต้า ประเทศไทย ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จากการเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินกิจการประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติระดับบรอนซ์ (Bronze Class) จาก RobecoSAM Sustainability Award

ด้วยความก้าวหน้าของเดลต้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีทั้งธุรกิจและสังคม เดลต้าจึงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจบนพื้นฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน โซลูชั่นต่างๆ ของเดลต้าเป็นที่ต้องการสูงจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดีย ออสเตรเลีย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเดลต้าในอนาคต