เดลล์ เทคโนโลยี เปิดเผยถึงการจัดตั้งแผนวิจัยด้าน IoT โดยเฉพาะ เตรียมพร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในยุค Digital Transformation ที่ต้องใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนองค์กร พร้อมเปิดวิสัยทัศน์  Making Thing Smart

เดลล์ เทคโนโลยี

ในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมแต่ละยุค มักจะมีตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่เสมอ เช่น เครื่องจักรไอน้ำ หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยในยุคนี สิ่งที่เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาหลักคือ “ข้อมูล” ซึ่งจะมาจากทุกอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หรือ Smart Thing นั่นเอง  

อโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี เปิดเผยกับทีมงาน ELEADER ว่า แนวคิด Making Thing Smart คือการสร้างสรรค์ทุกอย่างให้มีความอัจฉริยะขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวมนุษย์จะสามารถ Connected ได้ โดยผลสำรวจจาก IDC ระบุว่า ในปี 2020 จะมีอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ Mobile device เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากถึง 20.4 พันล้านดีไวซ์  และในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นถึง 74.4 พันล้านดีไวซ์

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ เดลล์ เทคโนโลยี ได้จัดตั้งแผนกวิจัยด้าน IoT โดยเฉพาะ รวมถึงได้เปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ ห้องปฏิบัติการ โปรแกรมคู่ค้า และโมเดลการใช้งานใหม่สำหรับ IoT รูปแบบใหม่ เกิดเป็นแนวคิด Edge To Core To Cloud ที่ทำให้ Dell มีข้อได้เปรียบอย่างมากในตลาด 

Edge To Core To Cloud แนวคิดการทำ Analytics แบบเรียลไทม์ 

แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจลูกค้าของ เดลล์ เทคโนโลยี ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับระบบ IoT ในอดีต เราจะมีตัวเก็บข้อมูลซึ่งนั่นก็คือ Censor  ที่จะค่อยส่งข้อมูลไปประมวลผลบนระบบ Cloud  หรือ Data Center ที่ไหนสักแห่ง แล้วตีผลกลับมาให้เจ้าหน้าที่  แต่นั่นกลับเป็นปัญหาเมื่อถ้าวันไหนระบบอินเทอร์เน็ตล่ม หรือ แบนวิดธ์เต็ม ก็ไม่สามารถประมวลข้อมูลได้ และทำให้เกิด Downtime 

Edge To Core To Cloud จึงเป็นแนวคิดที่ติดตั้งหน่วยประมวลผลเบื่องต้น (Core) ไว้ที่ตัวอุปกรณ์ Gateway แล้วประมวลผลข้อมูลที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก ทำให้เกิดการประมวลผลที่เป็นแบบ Real – time ได้ นอกจากนี้ เจ้าตัว Core ยังคอยจำแนกข้อมูลต่าง ๆ ที่จะส่งไปประมวลผลที่ Cloud เพื่อไม่ให้เกิดการกินแบนด์วิดท์ที่เกินความจำเป็น  

ซึ่งถ้าจะให้อธิบายหลักการทำงานโดยภาพรวมคือ  Edge (IoT device ที่คอยเก็บข้อมูล) ส่งข้อมูลมาประมวลที่ Core (Gateway) ซึ่งอาจจะตั้งอยู่ใกล้ ๆ ในระแวกเดียวกัน ซึ่งจะประมวลผลข้อมูลเบื่องต้นแล้วส่งกลับไปทันที  ในเวลาเดียวกันก็ส่งข้อมูลไปยังระบบ Cloud เพื่อประมวลผลในระดับ Deep Learning ต่อไป 

เดลล์ เทคโนโลยี
Edge To Core To Cloud

นอกจากนี้ ภายใน 3 ปีข้างหน้า เดลล์ เทคโนโลยีส์ จะเตรียมลงทุนอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในผลิตภัณฑ์ โซลูชัน ห้องปฏิบัติการ ระบบนิเวศและโปรแกรมคู่ค้าใหม่สำหรับ IoT  นั่นแปลว่าเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้แน่นอน 

ความริเริ่มในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของ เดลล์ เทคโนโลยี

  • Dell EMC ‘Project Nautilus’ เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการทำ query และย่อย ข้อมูลจำนวนมากที่ได้จาก IoT เกตเวย์ แบบเรียลไทม์ โดยสามารถอาไคฟว์ข้อมูลในรูปของไฟล์ หรืออ็อบเจ็กต์ สตอเรจ เพื่อการวิเคราะห์ขั้นสูงในเชิงลึกได้
  • ‘Project Fire’ แพลตฟอร์มไฮเปอร์ คอนเวิร์จ ซึ่งเป็นส่วนของโซลูชัน IoT ในตระกูล VMware Pulse ที่ให้การบริหารจัดการที่เรียบง่าย ประมวลผลได้จากภายใน (local compute) รวมถึงมีสตอเรจ และแอปพลิเคชัน IoT เช่นระบบวิเคราะห์แบบเรียลไทม์  ‘Project Fire’ ช่วยให้องค์กรธุรกิจนำ use cases ด้าน IoT มาใช้งานได้เร็วขึ้น และมีซอฟต์แวร์ระบบโครงสร้างที่เสถียรตั้งแต่ส่วนปลายทางที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ (edge) ไปจนถึงระบบหลัก (core) จนถึง คลาวด์
  • RSA ‘Project IRIS’ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาใน RSA Labs ซึ่ง Iris ได้มีการขยายความสามารถของระบบวิเคราะห์ความปลอดภัย เพื่อให้ความสามารถในการสอดส่อง และมองเห็นภัยคุกคามที่เข้ามาที่ Edge
  • เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก อย่าง ตัวเร่งประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ (processor accelerators) จะช่วยเพิ่มความเร็วในการวิเคราะห์ได้ใกล้เคียงกับ Edge ทั้งนี้ ความร่วมมือกับผู้นำอุตสาหกรรม อย่าง VMware, Intel และ NVIDIA รวมถึงการลงทุนของ Dell Technologies Capital ใน Graphcore  สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการนำศักยภาพของเซิร์ฟเวอร์มาใช้สำหรับ AI, Machine Learning และ Deep Learning ได้อย่างเต็มที่

 

ติดตามเรื่องอื่นเกี่ยวกับ IoT ได้ ที่นี่