เอสโตเนีย

เอสโตเนีย หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐเอสโตเนีย เป็นรัฐอธิปไตยในภูมิภาคบอลติก ในยุโรปเหนือ มีเมืองหลวงชื่อว่า ทาลลินน์ โดยเอสโตเนียมีจำนวนประชากรของประเทศที่น้อยที่สุดในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งมีเพียง 1.3 ล้านคนเท่านั้น แต่ทำไมประเทศนี้ถึงได้ชื่อว่า The Real Digital Nation  เราลองดูมาดูกันครับ

highlight

  • โครงการ e-Residency ที่เริ่มต้นในปี 2014 ที่สามารถทำให้ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวเอสโตเนีย สามารถได้สิทธิ์ในการเป็นประชากรของเอสโตเนีย ด้วยค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 100 ยูโร และไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่เอสโตเนีย
  • ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของประเทศได้ โดยเริ่มบริการ I-Voting ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 30% ของประชากรออกเสียงประชามติผ่านระบบออนไลน์  
  • บริการภาครัฐมากกว่า 99% รวมทั้งบริการธนาคาร บริการด้านการสั่งยาและเวชภัณฑ์ สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งบริการที่เกี่ยวข้องกับภาษีมากกว่า 98% ก็สามารถทำแล้วเสร็จภายใน 3 นาที

เอสโทเนีย ปฎิวัติโลกธุรกิจไร้พรมแดน

จุดเริ่มต้นของปฎิรูปภาครัฐสู่ระบบดิจิทัลของ เอสโทเนีย คือการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศตั่งแต่ปี 1996 ด้วยโครงการ Tiger Leap back ที่รัฐบาลมีการทุ่มเงินลงทุนในการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเน้นไปที่เรื่องการศึกษา

ซึ่งในปัจจุบันเอสโตเนียได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของ EU ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2017 โดยโครงการ e-Residency ที่เริ่มต้นในปี 2014 ที่สามารถทำให้ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวเอสโตเนีย สามารถได้สิทธิ์ในการเป็นประชากรของเอสโตเนีย ด้วยค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 100 ยูโร และไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่เอสโตเนีย

โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์ e-Residency สามารถจดทะเบียนประกอบธุรกิจในเอสโตเนียได้ ด้วยองค์ประกอบทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวกและระบบภาษี จะทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่สามารถสร้างธุรกิจดิจิทัลในเอสโตเนียได้ โดยภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมามีบริษัทจดทะเบียนใหม่แล้วในเอสโตเนียจำนวน 1,500 ราย

ด้วยนโยบายของรัฐคือ “E-Solution (Digital by Default ทุกอย่างต้องเป็นดิจิทัลตั้งแต่เริ่มต้น)” ความง่ายในการประกอบธุรกิจ (Easy Business) สามารถดำเนินการได้ภายใน 18 นาที นอกจากนี้รัฐบาลได้มีการพัฒนา E-Democracy

ทำให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของประเทศได้ โดยเริ่มบริการ I-Voting ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 30% ของประชากรออกเสียงประชามติผ่านระบบออนไลน์  

นอกจากนี้ E-cabinet สามารถทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์เป็นระบบ Paperless แทนระบบเดิมที่ต้องใช้กระดาษจำนวนหลายพันแผ่น รวมทั้งลดเวลากระบวนการลงมติที่แต่เดิมต้องใช้เวลา 5-8 ชั่วโมงเหลือเพียง 30 นาที

นอกจากนี้บริการภาครัฐมากกว่า 99% โดยรวมทั้งบริการธนาคาร บริการด้านการสั่งยาและเวชภัณฑ์ สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งบริการที่เกี่ยวข้องกับภาษีมากกว่า 98% ก็สามารถทำแล้วเสร็จภายใน 3 นาที

เอสโทเนีย
Smartchip ID Card In Estonia

การนำดิจิทัลมาใช้ในภาคราชการทำให้ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลงเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันงบประมาณของภาคราชการเหลือเพียง 50 ล้านยูโรต่อปีเท่านั้น (ต้นทุนการให้บริการภาครัฐเหลือประมาณ 40 ยูโรต่อประชากรชาวเอสโตเนียหนึ่งคนต่อปี

อย่างไรก็ตามโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญคือ X-Road ที่จะเป็น Backbone ให้กับ e-Estonia โดยคาดการณ์ว่ามากกว่า 900 องค์กรของภาครัฐและเอกชนจะเข้ามาใช้โครงสร้างนี้ในแต่ละวัน โดยการออกแบบ X-Road เป็นโครงสร้างแบบ Decentralization (การกระจายอำนาจรัฐ) ต่างจากระบบเดิมที่เน้นการสร้างโครงสร้างที่มีศูนย์กลาง เช่น ศูนย์ IDC ภาครัฐ

แต่ X-Road ออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงระบบโครงสร้างภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดมี Platform การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โครงสร้าง Backbone

ภายใต้โครงการ Internet X-Road ที่เป็นโครงสร้างที่นำข้อมูลมาเชื่อมโยงกันมีการสร้าง Data Platform เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งส่วนราชการ ธุรกิจ และประชาชน ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากัน การสร้างการยืนยันตัวตน (Authentication) การตรวจสอบสิทธิต่าง ๆ (Verification) สามารถทำได้ผ่าน X-Road

เอสโทเนีย
เมือง ทาลินท์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย

โดยความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ได้รับการดูแลด้วยแนวความคิด Decentralization ด้วยบทเรียนการถูกโจมตีในปี 2007 ที่แฮกเกอร์มุ่งทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นแบบ Centralization แต่ในโครงสร้าง X-Road ที่แม้ว่าจะถูกโจมตีแต่จะกลับมาฟื้นคืนดีได้อย่างรวดเร็ว และมีแผนการรองรับการต่อเนื่องการให้บริการเตรียมพร้อมไว้แล้ว 

นอกเหนือจากนี้รัฐบาลเอสโตเนียได้ดำเนินการโครงการเชื่อมโยง X-Road ระหว่างประเทศเอสโตเนียกับฟินแลนด์ สร้างรัฐบาลดิจิทัลข้ามประเทศได้ ดังนั้นความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มขึ้นเมื่อ 2 ประเทศนี้ได้มีการตกลงเชื่อมโยงโครงสร้าง X-Road เข้าด้วยกัน

วิสัยทัศน์ต่อไปของรัฐบาลเอสโตเนียคือการสร้าง Invisible Government ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ก่อนที่ประชาชนจะร้องขอ ด้วยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเพื่อสำรวจดูว่าประชาชนจะต้องการสิ่งใดจากรัฐ

เช่น เมื่อมีทารกเกิดใหม่ก่อนที่จะผู้ปกครองจะตั้งชื่อทารกเสร็จ รัฐสามารถสร้างข้อมูลหลักฐานสูจิบัตรและหายเลขบัตรประชาชน เมื่อทางโรงพยาบาลแจ้งการเกิดใหม่ของประชากร รวมทั้งจองพื้นที่สำหรับโรงเรียนอนุบาลเมื่อทารกนั้นเข้าเกณฑ์ที่จะเข้าเรียน

  • ติดตามเรื่องราว Digital Transformation ได้ที่ >> คลิ๊ก
  • ใครสนใจสมัครเป็นประชากรของประเทศนี้ คลิ๊ก
ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่